เราใฝ่ไปเกินฝัน
เราใฝ่ไปเกินฝัน เป็นนิยายที่ถูกแต่งขึ้นมาจากแรงบันดาลใจในการดูภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ความรักในรูปแบบหนึ่งที่คนในสังคมอาจจะไม่เข้าใจ ความรัก เกิดขึ้นได้เสมอ ไม่จำกัดเพศหนอกครับ ยังไงรักก็คือรัก
ผู้เข้าชมรวม
180
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เราใฝ่ไปเกินฝัน
ดังว่า
ถ้าหากว่าใจเราไม่เคยมีรักเลยสักที จิตใจดวงนี้คงเป็นใจที่ไร้ค่า และหากว่ามันมีอะไรที่ต้องแลกเพื่อได้มา ฉันว่ากันและกัน เป็นทางที่จะแลกได้มากกว่า ให้มันเป็นเพลงบนทางเดินเคียงที่จะมีเพียงเสียงเธอกับฉัน และไม่มีวันที่ฉันและเธอจะเดินจากกันไปที่ไหน และถ้าชีวิตคือท่วงทำนอง เธอคือคำร้องที่มีความหมาย ให้ใจได้ซึ้งและมีพลังจะเดินต่อไปให้ไกล
เสียงเพลงขอบคุณกันและกัน ถูกเปิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อตอกย้ำความทรงจำดีๆที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิต ของ เบสท์ เด็กหนุ่มผู้มีจิตใจอ่อนโยน และมีหน้าตาน่ารักไม่เบา ใครก็ตามที่ได้อยู่ใกล้ๆเขาแล้ว เค้าคนนั้นจะต้องหวั่นไหวในความมีเสน่ห์ของเบสท์ ถึงแม้ว่าบางครั้งเบสท์อาจจะเป็นคน ที่ดูเฉยชา เหมือนกับซ่อนงำความในใจหรือความหลังอะไรบางอย่างเอาไว้ แต่นั้น ก็เป็นเสน่ห์ ที่ทำให้เบสท์ เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่น่าค้นหา สำหรับใครหลายๆคน ที่ได้รู้จักเขา
ถึงแม้ว่าหนังเรื่อง รักแห่งสยาม จบลงไปหลายปีแล้วก็ตาม แต่สำหรับ เบสท์ หนังและเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกเปิดขึ้นครั้งแล้ว ครั้งเล่าเพื่อระลึกถึงความทรงจำครั้งเก่าก่อนที่เกิดขึ้นกับชีวิตของหนุ่มน้อยคนนี้ และทุกๆครั้งที่เค้าเปิดมัน น้ำตาก็จะไหลพร่างพรูออกมา มันเป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจในความรักของตัวละครที่ชื่อ มิวและโต้ง
หลายปีแล้วสินะ “ สอง “ ที่เราไม่ได้เจอกัน ไม่ได้คุยกัน นายรู้ไหมว่าเราทรมานใจแค่ไหน เราคิดถึงนายทุกวัน ทุกลมหายใจเข้าออกของเรามันยังมีนายอยู่ในนั้น นายรู้ไหมเวลาเราคิดถึงเรื่องราวในอดีตของเราทีไร รอยยิ้ม เสียงหัวเราะและน้ำตาก็เกิดขึ้นด้วยเสมอ ……. เบสท์นั่งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือในห้องของเขา เค้ามองออกไปนอกหน้าต่างไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา ภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าของเบสท์นั้นหาใช่ภาพวิวทิวทัศน์แต่อย่างใด แต่เป็นภาพเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในห้วงของวันเวลาที่มันได้ล่วงผ่านมาแล้วหลายปี ภาพของ สอง ซึ่งเป็นเพื่อนคนเดียวที่เบสท์ รักและสนิทสนมกันมากที่สุด ยังคงเด่นชัด ราวกับว่า เรื่องราวเหล่านั้น มันเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่อนุวินาทีก่อนหน้านี้เอง
เบสท์….. สอง เราไม่มีวันที่จะใช้ชีวิต บนวันเวลาใหม่ๆที่กำลังดำเนินไปในตอนนี้ เพื่อลืม วันเวลาเก่าๆ ของเราสองคนได้หรอก เราอยากให้นายรู้ ว่าเราไม่เคยคิดแม้แต่จะลืมนาย เลยสักครั้ง ไม่เลย สอง เราไม่เคย เราไม่เคยคิดเลยจริงๆ …..
ชีวิตจริงของคนเราบางครั้งมันก็ไม่ได้ต่างกับชีวิตของตัวละครในนิยาย เรื่องราวความรักความผูกพัน ที่เกิดขึ้นระหว่างเด็กหนุ่มสองคน มันไม่ง่ายเลยที่จะบอกกับตัวเองว่า ในท้ายที่สุดแล้ว คงเป็นไปไม่ได้เพราะข้อกีดกันทางสังคมเท่านั้นที่มันเป็นขวากหนามรออยู่บนหนทางข้างหน้า…… แต่เพื่อแลกกับการได้รัก ได้รู้สึกดีๆ ได้พูดคุย ได้ประคองซึ่งกันและกันไว้ เค้าทั้งสอง จึงเลือกที่จะรัก ถึงแม้ว่าเค้าจะต้องยอมรับ คำตอบ คือคำว่า เจ็บ ที่ไม่เคยต้องการมันเลย แต่นั้นมันก็เป็นโอกาสที่ดีมิใช่หรือ ที่ทำให้เค้าสองคน ได้ทำความรู้จักกับคำว่า รัก และประคับประคองกันไว้ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่เกิดขึ้น…….
ไอเบสท์ ไอเบสท์ ไออออ เบสทททททท์ อีกแล้วนะมึง เหม่อลอยอยู่นั้นแหละ แหกตาดูนาฬิกาซิมึง จะบ่ายโมงแล้ว เดี๋ยวก็เข้าเรียนไม่ทันหรอก ไป รีบเร็ว เดี๋ยวไม่ทัน บ่อยครั้งที่เบสท์และอั๋นจะมาสิงห์สถิตอยู่ในมุมหนึ่ง ในห้องสมุดของโรงเรียน หลังพักเที่ยง เบสท์และอั๋นปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนผู้ชายในห้อง เพื่อมานั่งคุยเรื่อง เรียน เรื่องรัก เรื่องอกหัก และก็…… มานั่งหลับน้ำลายยืดอยู่ที่ตรงนี้เป็นประจำ
อั๋นเป็นเพื่อนใหม่ของเบสท์ ที่รู้จักกันตอน เข้า ม .1 อั๋นเป็นคนที่หน้าตาไม่ดี แต่ก็ไม่ถึงกับแย่ แต่ด้วยบุคลิกเป็นคนที่ตรงไปตรงมา รักเพื่อนพ้อง และเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุดของเพื่อนๆ จึงทำให้มาสนิทกับเบสท์ในที่สุด ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเบสท์อั๋นจะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับรู้ ซึ่งหากจะกล่าวว่า เป็นเพื่อนคู่คิด เป็นมิตรคู่กาย ในช่วงชีวิตมัธยมตอนต้นของเบสท์เลยก็ว่าได้
อั๋น….. ไอเบสท์ กูถามมึงจริงๆเถอะว่ะ ตอนเที่ยงที่มึงนั่งเหม่ออ่ะ มึงคิดถึง ไอสองอีกแล้วใช่ไหม
เบสท์ อืมมม ใช่ เบสท์ตอบอั๋นด้วยท่าทางที่เฉยชา เพราะมันเป็นคำถามที่อั๋น ถามเขาเป็นประจำ เวลาที่เห็น เขานั่ง
เหม่อ
อั๋น กูไม่เข้าใจเลยจริงๆว่า ทำไม มึงถึง รักมันได้มากขนาดนี้ มึงมัวเอาแต่คิดถึงมันอย่างนี้อยู่กี่ปีแล้ว มึงเคยคิดมั้ง
ไหม ว่าป่านี้ ไอสองมันอาจลืมมึงไปแล้วก็ได้ พอเวลามันผ่านไปนะเว้ย อะไรๆที่เข้ามา มันก็จะทำให้คนเราไหว
หวั่น และลืมเรื่องราวในอดีตในที่สุด
คำพูดของอั๋น ทำให้เบสท์ ฉุดคิด ใบหน้าของเบสท์กลับสลดยิ่งไปกว่าเก่า ทั้งๆที่เบสท์ก็รู้ดีว่า กฎของเวลานี้มันยากที่จะทำความเข้าใจ แต่เค้าก็เลือกที่จะหลอกตัวเองโดยการทำเป็นไม่คิดถึงเรื่องนี้ เพราะมันเป็นหมือน คมมีด ดีๆ ที่คอยทิ่มแทง และทำให้เค้า ปวดร้าวอย่ตลอดเวลา หากเค้าคิดเหมือนกับที่อั๋นได้พูดออกมา
เอ้อ เอ้อ เบสท์ กูขอโทษนะเว้ย ที่พูดแบบนี้ อั๋นมองหน้าอันแสนเศร้าและเฉยชาของเบสท์ แล้วกล่าวคำขอโทษที่พูดแทงใจดำออกไป
เบสท์ ไม่เป็นไรหลอกอั๋น กูรู้ว่ามึงหวังดีกับกู ตั้งแต่ไม่มี สอง ก็มีมึงนี่แหละที่เข้าใจกู ในยามที่อ่อนไหว มึงนี่แหละ ที่ทำให้กูรู้สึกดี ครั้งแล้ว ครั้งเล่า แต่มึงไม่เป็นกู มึงไม่เข้าใจกูหรอก คนเราอะนะ ถ้าลองได้รักได้ผูกพันกับใครสักคนไปแล้ว มันไม่ง่ายหรอก ที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตเพื่อลืมเขา
อั๋น …… เออกูรู้ ว่ามึงรู้สึกยังไง ถึงกูจะไม่เคยมีใครให้รัก แต่กูก็สัมผัสได้ว่า ความรักที่ดูเหมือน ไม่น่าจะเป็นไปได้ของ ไอสองกับมึงเนี่ย มันน่าจดจำเพียงไร …..อั๋นพูดพร้อมกับเอามือไปลูบไหล่ เบสท์เบาๆ เพื่อเป็นการปลอบโยน แทนคำพูดหลายๆคำ ….
อั๋น ..... แต่เทอมหน้าพวกเราก็จะจบ ม.3 กันแล้วนะ มึงก็ยังมีโอกาสที่จะสอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียนเดียวกับสอง ไม่ใช่หรือ กูว่านะ มึงเอาเวลา ไปอ่านหนังสือ เตรียมตัวสอบเข้า ม สี่ ดีกว่านะ โอกาสดีๆที่มึงจะได้กลับมาเจอกับสองมันยังมีอยู่ไม่ใช่เหรอว่ะเพื่อน แล้วมึงจะมานั่งเหม่อเหมือนคนหมดหวังทำไม ถ้ามึงหมดหวัง ก็เท่ากับว่า มึงแพ้ ตั้งแต่ตอนนี้แล้วนะ
เบสท์ ขอบใจมากว่ะอั๋น ขอบใจที่มึงเตือนสติกู ขอบใจว่ะเพื่อน เบสท์พูดพร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างไปเขย่าตัวอั๋น ด้วยอาการใจชื้นมากยิ่งขึ้น......
เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเมื่อ ประมาณ 8 ปีก่อน ……
เบสท์กับสอง เป็นเพื่อนที่สนิทกันตั้งเด็กแต่เด็กๆ นานเท่าไหร่ไม่รู้ ตั้งแต่จำความได้ เด็กทั้งสองคน ก็ไปเล่น ไปเที่ยว ด้วยกันเสมอ บ้านของเบสท์และสองตั้งอยู่ไม่ห่างกันมากนัก เมื่อมองออกไปจากระเบียงบ้านของเบสท์ ก็จะเห็น หน้าต่างและบริเวณสวนรอบบ้านของสอง พ่อกับแม่ของสอง เป็นครูอยู่ในโรงเรียนละแวกนั้น ส่วนเบสท์ เป็นลูกชาวสวนที่มีฐานะมั่นคง ความผูกพัน ความรักระหว่างเพื่อนได้ก่อตัวขึ้นเงียบๆ ไปตามกฎของเวลาที่ดำเนินไป
ยิ่งนานวัน เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น ระหว่างเพื่อน ที่เคย เที่ยว เล่น ด้วยกัน ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าจดจำ ไปที่ไหน ถ้ามีสอง ต้องมีเบสท์ ตามติดเป็นเงาตามตัวด้วยเสมอ บางครั้งเกิดเรื่องที่ทำให้ต้องทะเลาะกัน ทำให้ไม่เข้าใจกัน แต่นี่ก็เป็น บทเรียน ที่ทำให้เด็กทั้งสองคน รู้จักที่จะแคร์ความรู้สึกของกันและกันมากขึ้น อุปสรรคเหล่านี้เองที่ทำให้ ความรักแบบเพื่อน มันค่อยๆเริ่มเปลี่ยนเป็นความรัก ในแบบที่.......เขาทั้งสองก็ยังไม่เข้าใจว่า มันเรียกว่าอะไร แต่มันก็เป็นความรักที่หล่อเลี้ยง และเติมเต็มความรู้สึกภายในจิตใจของเด็กหนุ่มทั้งสองคน ให้รู้สึก เบิกบานใจที่มีกันและกัน………..
ติดตามตอนต่อไปเร็วๆนี้ครับ
ผลงานอื่นๆ ของ ใฝ่เกินฝัน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ใฝ่เกินฝัน
ความคิดเห็น